
น้ำเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับมนุษย์ มีคำกล่าวว่าหากคนเราขาดน้ำเพียง 3 วันจะทำให้ถึงแก่ความตายได้
ในร่างกายของคนแต่ละคนมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว โดยอยู่ในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเลือด สมอง น้ำลาย เนื้อเยื่อต่างๆ เป็นต้น โดยทำหน้าที่รักษาอุณหภูมิให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกาย ช่วยในการขับถ่าย การย่อย เป็นต้น และทุกๆ วันร่างกายจะสูญเสียน้ำจากการขับถ่ายการเสียเหงื่อเพื่อรักษาอุณหภูมิในร่างกาย คนเราจึงต้องการน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่สูญเสีย ด้วยเหตุนี้นักวิชาการด้านสุขภาพจึงแนะนำให้ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ทั้งนี้น้ำดื่มต้องเป็นน้ำที่สะอาดเท่านั้นในอดีตคนไทยนิยมดื่มน้ำฝนเพราะน้ำฝนมีรสดีและไม่มีปัญหาเรื่องมลพิษในอากาศ จึงสามารถนำน้ำฝนมาดื่มได้โดยไม่มีอันตราย แต่ในปัจจุบันน้ำฝนที่รองได้จากในเขตเมืองที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่หรือในสถานที่ที่มีมลพิษในอากาศ ไม่ควรนำมาดื่มเพราะไม่มีความสะอาดเพียงพอ ดังนั้นคนในเมืองจึงต้องพึ่งพาน้ำดื่มบรรจุขวดที่มีหลากหลายยี่ห้อ และรูปแบบ บางคนเลือกซื้อจากรูปทรงภาชนะที่บรรจุ บางคนเลือกจากราคาถูก และบางคนเลือกซื้อจากหลังพิจารณาแล้วว่าน้ำดื่มนั้นๆ สะอาด ซึ่งการเลือกซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดนี้ หากเราเข้าใจที่ไปที่มาของน้ำดื่มเหล่านี้จะช่วยเราให้สามารถเลือกและตัดสินใจซื้อได้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
น้ำดื่มบรรจุขวดที่วางขายอยู่ในขณะนี้ (ไม่เกี่ยวกับน้ำแร่) มีกรรมวิธีการผลิตที่นิยมใช้อยู่ 2 แบบ แบบที่หนึ่งคือการกรอง คนทั่วไปเรียกน้ำที่ผ่านกรรมวิธีนี้ว่า “น้ำอ่อน” หรือ “น้ำซอฟต์” น้ำชนิด

กระบวนการผลิตน้ำอาร์โอนี้ เรือเดินสมุทรนิยมนำไปใช้ผลิตน้ำดื่มบนเรือ คือสามารถทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดที่นำมาดื่มได้ เครื่องผลิตน้ำชนิดตู้หยอดเหรียญที่ตั้งอยู่ตามหอพักหรือตามชุมชนต่างๆ ก็ใช้ระบบอาร์โอ หากดูในเรื่องรสชาติผู้บริโภคส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าน้ำซอฟต์มีรสชาติอร่อยกว่าน้ำอาร์โอ เพราะในน้ำซอฟต์มีแร่ธาตุหลงเหลืออยู่จึงทำให้น้ำยังคงรสชาติอยู่
น้ำดื่มที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วย 2 วิธีดังกล่าว แม้จะผ่านกรรมวิธีที่สะอาดแต่หากภาชนะบรรจุหรือการขนส่งไม่ถูกสุขลักษณะก็อาจทำให้น้ำดื่มนั้นปนเปื้อนได้เช่นกัน ขวดสีขาวขุ่นมีข้อดีตรงที่ทำลายง่าย ไม่สร้างมลพิษให้สิ่งแวดล้อม ราคาถูก แต่ก็มีข้อด้อยคือฉีกขาดและแตกง่าย หากถูกแสงแดดจะทำให้พลาสติกละลายปนเปื้อนลงในน้ำได้ง่าย หรือวางใกล้กับอาหารหรือว่างในสถานที่ที่มีกลิ่นก็จะดูดกลิ่น ทำให้น้ำมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น เก็บไว้ในครัวโดยวางใกล้กระเทียม จะทำให้น้ำมีกลิ่นของกระเทียม เป็นต้น ส่วนขวดใสราคาของขวดสูง ทำลายยาก สร้างปัญหาให้สิ่งแวดล้อมได้ แต่ทำให้ผู้ซื้อมองเห็นน้ำที่บรรจุอยู่ได้ชัดเจน และผู้บริโภคมักนำขวดใสมาใช้ซ้ำ โดยเฉพาะน้ำชนิดตู้หยอดเหรียญ

นอกจากน้ำดื่มที่ดับกระหายทุกครั้งที่เราหิวแล้วยังมีเครื่องดื่มอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ น้ำอัดลม หรือแม้แต่น้ำผัก น้ำผลไม้ ที่ทำให้เรามีความสุขสดชื่นทุกครั้งที่ได้จิบหรือดื่ม จึงควรที่เราจะได้หันมาทำความรู้จักกับน้ำเหล่านี้ให้ลึกซึ้งเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทุกครั้งที่เราดื่ม

ขึ้นชื่อว่า “ชา”

คงสงสัยกันแล้วว่าชาพลังสีนั้นเป็นอย่างไร… ชาพลังสีเป็นชาสมุนไพรไทยที่นำเอาสมุนไพรซึ่งมีสรรพคุณใกล้เคียงและส่งเสริมกันมาผสม รวมกันจนได้สีสันและพลังในการบำรุงสุขภาพตามต้องการ โดยอาศัยความรู้ทางการแพทย์แผนไทยในการผลิตชาพลังสี จึงมีเอกลักษณ์ที่สีสันอันสวยงาม กลิ่น และรสของสมุนไพรที่แตกต่างจากชาทั่วไป
สำหรับการผลิตก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอย่างที่คิด หากได้พืชสมุนไพรที่มีคุณภาพดีก็จะได้ชาพลังสีที่มีคุณภาพทั้งสี กลิ่น และรส พืชที่นำมาใช้ผลิตจึงต้องเก็บเกี่ยวตามฤดูกาลที่พืชชนิดนั้นให้ผลผลิตดี นำไปทำความสะอาด คัดแยก จากนั้นอบแห้งด้วยพลังแสงอาทิตย์แล้วจึงนำเข้าเครื่องอบที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม นำไปบดจนได้ขนาดตามต้องการ ต่อจากนั้นนำพืชสมุนไพรมาผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อสร้างสีสันตามที่ต้องการ สุดท้ายจึงบรรจุซองเยื่อกระดาษ ที่สำคัญพืชสมุนไพรที่จะนำมาผลิตเป็นชาพลังสีต้องปลอดจากสารเคมีและวัตถุกันเสียด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดซึ่งในปัจจุบันผลิตได้แล้ว 7 สี 7 สรรพคุณ ได้แก่ ชาพลังสีเหลือง ชาพลังสีชมพู ชาพลังสีน้ำตาล ชาพลังสีน้ำเงิน ชาพลังสีเขียว ชาพลังสีแดง และชาพลังสีม่วง

ชาพลังสีเหลือง เป็นชาสีเหลืองทองที่ได้จากการผสมกันระหว่าง “มะตูม” ช่วยบำรุงธาตุและแก้ท้องเสียและ “เก๊กฮวย” ช่วยบำรุงสายตา แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ลดความดันเลือด และช่วยเจริญอาหาร กลายเป็นพลังในการบำรุงสุขภาพใหม่ คือช่วยให้หลับสบายและผ่อนคลายความเครียด
ชาพลังสีชมพู เป็นชาสีชมพูอมม่วงที่ได้จากการผสมระหว่าง “ขิง” ช่วยขับลม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน , “กระเจี๊ยบแดง” ให้ความสดชื่นและอุดมไปด้วยวิตามินซี และ “ตะไคร้” ให้ความสดชื่น ช่วยขับลมและย่อยอาหาร กลายเป็นพลังในการบำรุงสุขภาพใหม่ คือช่วยให้คนดื่มรู้สึกสดชื่น รวมถึงช่วยย่อยหลังมื้ออาหารหนัก
ชาพลังน้ำตาล เป็นชาสีน้ำตาลทองที่ได้จากการผสมกันระหว่าง “มะกรูด” ช่วย ขับลม บำรุงหัวใจ, “ส้มแขก” ช่วยระบาย ขับไขมัน และ “มะขามป้อม” ช่วยขับเสมหะและอุดมด้วยวิตามินซี กลายเป็นพลังในการ บำรุงสุขภาพใหม่ คือยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินในร่างกาย ขับไขมัน และช่วยระบาย
ชาพลังสีน้ำเงิน เป็นชาสีน้ำเงินอมฟ้าที่ได้จากการผสมกันระหว่าง “อัญชัน” มีสารแอนโทไซยานินซึ่งช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ, “หม่อน” อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงร่างกาย, “เตย” ช่วยบำรุงหัวใจ และ “ขมิ้นชัน” มีสารเคอร์คิวมินช่วยยับยั้งการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหารและต้านสารอนุมูลอิสระ กลายเป็นพลังในการบำรุงสุขภาพใหม่ คือช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระและบำรุงร่างกาย
ชาพลังสีเขียว เป็นชาสีเขียวที่ได้จาการผสมระหว่าง “มะขามป้อม” ช่วยขับเสมหะและอุดมไปด้วยวิตามินซี, “หม่อน” อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงร่างกาย, “มินต์”ช่วยบำรุงหัวใจและให้ความสดชื่นและ “บัวบก” ช่วยบำรุงสมอง ผิวพรรณ ลดความดันเลือดและลดอาการช้ำใน กลายเป็นพลังในการบำรุงสุขภาพใหม่ คือช่วยป้องกันหวัดและเสมหะ
ชาพลังสีแดง เป็นชาแดงเข้มที่ได้จากการผสมกันระหว่าง “กระเจี๊ยบแดง” ให้ความสดชื่นและอุดมด้วยวิตามินซี, “มะกรูด” ช่วยขับลม บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท กลายเป็นพลังในการบำรุงสุขภาพใหม่ คือช่วยบำรุงเลือดและบำรุงผิวพรรณ
ชาพลังสีม่วง เป็นชาสีม่วงเข้มที่ได้จากการผสมระหว่าง “อัญชัน”มีสารแอนโทไซยานินซึ่งช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ, “กระเจี๊ยบแดง” ให้ความสดชื่นและอุดมไปด้วยวิตามินซี, “กระชายดำ” ช่วยบำรุงกำลัง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ และ “ปัญจขันธ์ หรือ เจียวกู่หลาน” ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตาลในเลือด ต้านสารอนุมูลอิสระและยับยั้งมะเร็งบางชนิดกลายเป็นพลังในการบำรุงสุขภาพใหม่ คือช่วยบำรุงกำลัง ต้านสารอนุมูลอิสระและลดอาการปวดเมื่อย
ชาเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่นิยมมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ถูกค้นพบเมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อนโดยจักรพรรดิเสินหมง สาระสำคัญในชาคือ คาเทซิน และฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันความเสื่อมของร่างกายและโรคเรื้อรังต่างๆ
ชามีอันตรายหรือไม่

ในชามีสารฟลูออไรด์ซึ่งมีประโยชน์ต่อกระดูกและฟัน แต่ถ้ากินมากเกินไปจะทำให้กระดูกเปราะและฟันเป็นจุดขาวได้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาโลหิตจางไม่ควรดื่มชาพร้อมอาหาร เพราะสารแทนนิน จะลดการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนในลำไส้ อาจทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก
วิธีชงชาให้ได้ประโยชน์
เวลาที่เราแช่ชาดำชนิดซองในน้ำเดือดสารต้านอนุมูลอิสระจะออกมาในน้ำอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวและชาดำได้เร็วและมีประสิทธิภาพการดื่มชาวันละถ้วยจะให้สารต้านอนุมูลอิสระที่เพียงพอต่อร่างกายแค่เทน้ำเดือดๆ ลงบนซองชาหรือใบชา แช่ประมาณ 3-5 นาที แต่ถ้าคุณกำลังเร่งรีบ จุ่มซองยกขึ้นลงประมาณหนึ่งนาที จะช่วยปล่อยสารฟลาโวนอยด์จากชาเร็วขึ้น การจุ่มขึ้นจุ่มลงเพียงหนึ่งนาทีกับการแช่ไว้ 4 นาที จะได้ประโยชน์พอๆ กัน สำหรับชาเขียวให้แช่นานประมาณ 1-1.30 นาที
แม้ว่าผลไม้สดจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากมาย แต่ในฤดูกาลที่มีผลผลิตเป็นจำนวนมาก ผลไม้ถูกนำมาดัดแปลงเพื่อสร้างความหลากหลายในการบริโภค เช่น คั้นเฉพาะน้ำมาบริโภค ซึ่งเป็นการเปลี่ยนลักษณะจากผลไม้สด และสะดวกในการบริโภค สำหรับบางคนที่มีปัญหาการเคี้ยว การนำผลไม้มาคั้นน้ำต้องทำความสะอาดผลไม้ก่อนและเลือกชนิดที่มีน้ำมากที่รู้จักกันดีน่าจะเป็นน้ำส้มคั้นหรือเรียกกันเล่นๆ ว่าน้ำนางเอก เพราะในอดีตดาราหรือนักแสดงเมื่อถูกถามว่าชอบอะไร แทบจะทุกคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าน้ำส้มคั้น น้ำส้มคั้นจึงได้ฉายาว่าน้ำนางเอกเรื่อยมา แต่ปัจจุบันอาจจะไม่ค่อยได้ยินคำนี้สักเท่าใด
ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมทำให้มีการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้ในการคั้นน้ำผลไม้ และนำผลไม้มาคั้นน้ำได้มากมายหลายชนิด อุปกรณ์เหล่านั้นมีทั้งที่สามารถแยกกากและน้ำออกจากกัน ใช้งานสะดวกและราคาไม่แพงมากนัก ปัจจุบันจึงมีน้ำผลไม้วางจำหน่ายในท้องตลาดให้ผู้บริโภคเลือกซื้อตามความชอบถ้าสังเกตดูจะพบว่าน้ำผลไม้วางขายมีทั้งชนิดสด บรรจุขวด บรรจุกล่อง ตามแต่จะเลือกซื้อส่วนกากที่เหลือจากการคั้นน้ำซึ่งเป็นใยอาหารที่มีประโยชน์จะถูกทิ้งไป ทำให้สูญเสียสิ่งที่มีประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย
มารู้จักน้ำผลไม้ในท้องตลาด
น้ำผลไม้ที่วางขายมี 2 ชนิด คือ น้ำผลไม้สด และน้ำผลไม้ผ่านกระบวนการ
น้ำผลไม้สด

น้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ

น้ำผลไม้ผสม น้ำผลไม้บางชนิดมีการปรุงแต่งรสอื่นโดยผสมน้ำผลไม้มากกว่าหนึ่งชนิดในอัตราส่วน ที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเติมสารกันบูด น้ำตาล สีและกลิ่นลงไปด้วย เช่น น้ำสับปะรดผสมน้ำส้ม น้ำฝรั่งผสมน้ำสับปะรด หรือบางทีอาจจะผสมกับน้ำผัก เช่น แครอตผสมน้ำส้ม น้ำมะเขือเทศผสมน้ำสับปะรด เป็นต้น
ได้อะไรจากผลไม้และน้ำผลไม้?
สิ่งที่ได้รับจากน้ำผลไม้ที่เห็นชัดคือความสะดวกในการซื้อหาและบริโภค เพราะในท้องตลาดมีหลากหลายชนิดให้เลือกตามใจชอบ หาซื้อได้ง่ายและมีขายทุกฤดูกาลแม้ไม่ใช่หน้าผลไม้ชนิดนั้น ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการคั้นล้างอุปกรณ์ที่ใช้มีการบรรจุขวดหรือกล่องซึ่งสะดวกและพกพาในระหว่างเดินทางได้ เก็บไว้ได้นานถ้ายังไม่เปิดบริโภค ถ้าแกะกล่องหรือขวดแล้วต้องเก็บในตู้เย็นเท่านั้น แต่เมื่อเทียบราคากับผลไม้สดอาจจะแพงกว่ากันบ้าง
ในด้านคุณค่าอาหาร การบริโภคผลไม้สดจะได้วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ เช่น ความร้อน หรือแสง อาจทำให้วิตามินและเกลือแร่บางส่วนลดลงบ้าง เช่นวิตามินซี หรือวิตามินเอ อาจสลายไปเมื่อถูกแสง นอกจากนี้บางครั้งมีการเติมน้ำตาลเพื่อปรับรสชาติให้กลมกล่อม จึงทำให้ได้รับน้ำตาลซึ่งเป็นสารคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานมากเกินความต้องการของร่างกาย การบริโภคปริมาณมากและบ่อยย่อมเกิดการสะสมพลังงานส่วนเกินแล้วทำให้อ้วนได้ ถ้าเป็นน้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมสิ่งที่ได้มาโดยไม่ตั้งใจก็คือสารเคมีที่เติมลงไปในกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นสารกันบูด สี กลิ่น รส ที่ใช้ปรุงแต่งรส ถ้าร่างกายได้รับในปริมาณมากย่อมไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ
สิ่งที่ต้องสูญเสียจากการดื่มน้ำผลไม้

ส่วนการคั้นน้ำผลไม้สดๆ ที่มีขายทั่วไปในย่านการค้าต่างๆ นั้น ก่อนตัดสินใจซื้อหามาบริโภคควรใช้ความสังเกตถึงขั้นตอนการคั้นผลไม้ที่น้ำมาคั้น อุปกรณ์ที่ใช้ สุขภาพและการแต่งกายของผู้ประกอบการ ว่าสะอาดเหมาะสมและไม่มีการปนเปื้อน เพราะระหว่างคั้นน้ำผลไม้อาจเกิดการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะในบ้านเราที่มีอุณหภูมิพอเหมาะต่อการเติบโตของเชื้อโรค หลังบริโภคอาจทำให้มีอาการท้องเสียได้
การบริโภคผลไม้สดอาจจะไม่สะดวกบ้างสำหรับผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกหรือการเก็บรักษา เพราะอาจเก็บได้ไม่นานจะเน่าเสียได้แต่ในด้านสารอาหารจะได้รับเต็มที่ตามที่มีในผลไม้แต่ละชนิดโดยไม่มีการเติมสารเคมี รวมทั้งได้รับใยอาหารอีกด้วย ส่วนราคาน่าจะแตกต่างไปตามฤดูกาล ดังนั้นหากเลือกบริโภคผลไม้ไทยที่มีตามฤดูกาลก็จะสามารถหาซื้อได้ในราคาถูกกว่าผลไม้นอกฤดูกาลหรือผลไม้จากต่างประเทศด้วย
ผลไม้เป็นอาหารหมู่หนึ่งที่สำคัญและต้องบริโภค แต่ทั้งผลไม้สดและน้ำผลไม้ต่างให้ประโยชน์แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ข้อมูลเหล่านี้คงมีประโยชน์และใช้ประกอบการพิจารณาว่าจะเลือกบริโภคผลไม้สดหรือน้ำผลไม้เมื่อไรดี
นอกจากผลไม้แล้ว ผักต่างๆ ก็สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้ เช่นเดียวกัน แต่ต้องพิถีพิถันเลือกกันสักหน่อย และทั้งน้ำผักและผลไม้ เราจะเรียกรวมๆ ว่า น้ำสมุนไพร ซึ่งมีเกร็ดเล็กๆ เกี่ยวกับน้ำสมุนไพรมาฝากค่ะ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับน้ำสมุนไพร

ความเป็นมาและความสำคัญของน้ำสมุนไพร
สมุนไพร เป็นทรัพยากรธรรมชาติ คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงส่วนของพืชที่นำมาใช้เป็นยารักษาโรค แต่ในความจริงคือส่วนประกอบที่ได้จากพืช สัตว์ แร่ธาตุต่างๆ ที่นำมาใช้สำหรับทำยา ตัวอย่างเช่น
- สมุนไพรจากพืช ได้แก่ ผัก ผลไม้ต่างๆ เช่น ขิง ใบเตย กะเพรา ว่านหางจระเข้ ผักคะน้า ผักตำลึง ส้ม แตงโม เป็นต้น
- สมุนไพรจากสัตว์ ได้แก่ เขากวาง ดีหมี ดีงู จิ้งจก ตุ๊กแก เป็นต้น
- แร่ธาตุที่ใช้เป็นสมุนไพร ได้แก่ น้ำปูนใส เกลือแกง ดีเกลือ เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังมีบางส่วนของสมุนไพรที่รับประทานไม่ได้ยังสามารถใช้ทำยาภายนอกได้ เช่น ช่วยป้องกันยุงกัด รักษาบาดแผล เป็นต้น
ดังนั้น น้ำสมุนไพรจึงเป็นน้ำดื่มที่ได้จากการใช้ส่วนประกอบต่างๆ ของพืช เช่น ผลไม้ ผัก/ธัญพืชต่างๆ นำมาแปรรูปให้เหมาะสมตามฤดูกาล การเตรียมน้ำสมุนไพรไว้ดื่มเองนั้น ราคาจะย่อมเยา สะอาด ปราศจากสารพิษ รสชาติจะถูกปากของแต่ละบุคคลได้ทั้งกลิ่นและรสตามธรรมชาติของสมุนไพรนั้นๆ
ร่างกายของคนเรามีส่วนประกอบของน้ำประมาณร้อยละ 80 น้ำจึงมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตรองจากอากาศ ร่างกายต้องใช้น้ำไปช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ตามปกติ น้ำในร่างกายจะมีการสูญเสียวันละประมาณ 2-3 ลิตร ถ้าเราไม่ดื่มน้ำเข้าไปชดเชย จะทำให้เกิดการกระหายน้ำ ฉะนั้นเราจึงต้องดื่มน้ำเข้าไปทดแทนเท่ากับที่เสียไป แต่ในบางครั้งความกระหายทำให้คนยังยึดติดในรสชาติ จึงมักหันไปดื่มน้ำที่ให้รสชาติ เช่น น้ำสมุนไพรซึ่งมีประโยชน์ทางยา มีคุณค่าทางอาหารและช่วยในการป้องกันโรค เป็นต้น โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อน เหงื่อออกมาก ดื่มน้ำสมุนไพรก็จะช่วยให้จิตใจชุ่มชื่น ทำให้รู้สึกสบาย เพราะน้ำสมุนไพรบางชนิดสามารถช่วยผ่อนคลายความร้อนทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง เช่น น้ำมะขาม ช่วยลดอาการกระหายน้ำ น้ำสมุนไพรบางชนิดช่วยบำรุงหัวใจเป็นยาเย็น ได้แก่ น้ำใบเตย น้ำใบบัวบก น้ำสมุนไพรบางชนิด มีคุณสมบัติช่วยย่อย ช่วยทำให้ธาตุปกติและฟอกเลือด ได้แก่ น้ำมะเขือเทศ เป็นต้น น้ำสมุนไพรเหล่านี้ เป็นได้ทั้งอาหารและให้คุณค่าทางยาได้บ้างเล็กน้อย ดังนั้น น้ำสมุนไพรจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยบำรุง ปกป้องรักษาสภาวะร่างกายให้เกิดสมดุล ทำให้สุขภาพดีในที่สุด
คุณค่าและประโยชน์น้ำสมุนไพร

น้ำสมุนไพรมีรสชาติที่อร่อยตามธรรมชาติ ให้คุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายโดยตรง มีผลต่อระบบการย่อยอาหาร เจริญอาหาร ให้พลังงาน ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ร่างกายกระชุ่มกระชวย และอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ นอกจากผิวพรรณแล้ว ยังช่วยบำรุงเส้นผมช่วยควบคุมไขมันที่เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสารอาหารในน้ำสมุนไพรช่วยควบคุมระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้สารอาหารชนิดอื่นได้ประโยชน์อย่างเต็มที่
ข้อแนะนำในการเตรียมน้ำสมุนไพร

การเตรียมน้ำสมุนไพร เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ควรคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้
1. การเลือกสมุนไพร
1.1 สมุนไพรสด เลือกที่สด เก็บมาจากต้นใหม่ ตามฤดูกาล สีสันเป็นธรรมชาติตามชนิดของสมุนไพร ไม่มีรอยช้ำเน่าเสีย ความสดทำให้มีรสชาติดี มีคุณค่ามากกว่า
1.2 สมุนไพรแห้ง การแปรรูปสมุนไพร โดยวิธีทำให้แห้ง เป็นการเก็บรักษาสมุนไพรวิธีหนึ่ง เพื่อให้มีสมุนไพรไว้ใช้นอกฤดูกาล การเลือกซื้อควรดูที่ความสะอาด สีสันไม่คล้ำมาก เช่น กระเจี๊ยบแห้ง ควรมีสีแดงคล้ำแต่ไม่ดำ มะตูมแห้งสีน้ำตาลออกเหลือง จะต้องไม่มีกลิ่นของปัสสาวะหรืออุจจาระสัตว์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้รูป รส กลิ่น สีของสมุนไพรเปลี่ยนไป
2. ความสะอาดของภาชนะและสมุนไพร
2.1 ภาชนะที่ใช้เตรียม จะต้องสะอาด เลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดของสมุนไพร เช่น มะขาม มะม่วง สับปะรด เชอรี่ มะเฟือง ฯลฯ มีรสเปรี้ยวควรใช้ภาชนะเคลือบ เนื่องจากกรดที่มีอยู่ในสมุนไพรจะทำปฏิกิริยากับภาชนะอะลูมิเนียม ทองเหลือง ทำให้รสชาติของน้ำดื่มสมุนไพรเปลี่ยนไป จะได้โลหะหนักปนอีกด้วย
2.2 ภาชนะที่ใช้บรรจุหลังปรุงเสร็จ ควรเป็นภาชนะแก้ว เมื่อบรรจุน้ำสมุนไพรแล้วต้องนึ่งฆ่าเชื้ออีกไม่น้อยกว่า 30 นาที เย็นแล้วจึงเก็บเข้าตู้เย็น จะทำให้น้ำสมุนไพรเก็บได้นาน อีกทั้งทำให้ดูน่ารับประทาน และยืดเวลาการเน่าเสียเพราะไม่ได้ใส่สารกันบูด
2.3 ความสะอาดของตัวสมุนไพร ควรล้างให้ถูกวิธี ถ้าเป็นสมุนไพรแห้งจะต้องล้างอย่างน้อย 1-2 ครั้ง ถ้าเป็นสมุนไพรสด ควรล้างอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันสารเคมีที่ติดมา ซึ่งสามารถลดปริมาณสารพิษในผักและผลไม้ได้ การล้างผักและผลไม้เพื่อลดปริมาณสารพิษ ทำได้ดังนี้
- แช่น้ำสะอาด 15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 7-8
- ล้างด้วยน้ำโซดา 1 เปอร์เซ็นต์ ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ23-61
- ให้น้ำก๊อกไหลผ่าน 2 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ54-63
- แช่ด้วยน้ำส้มสายชู 5 เปอร์เซ็นต์ ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ60-84
3. น้ำตาลหรือน้ำเชื่อม
จากข้อแนะนำการบริโภคอาหารของคนไทยควรได้รับไม่เกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ (หนัก 30 กรัม หรือ ประมาณ 2 ช้อนคาว หรือ 6 ช้อนชา) ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารในมื้อต่างๆ ด้วย
วิธีการเตรียมน้ำเชื่อมเข้มข้น
น้ำตาลทราย 100 กรัม (20 ช้อนชา หรือ 7 ช้อนคาวไม่พูน)
น้ำสะอาด 50 กรัม (10 ช้อนชา หรือ 3.5 ช้อนคาว)
นำน้ำตาลผสมน้ำตามส่วน ตั้งไฟพอเดือดจนน้ำตาลละลายหมดยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น จะได้น้ำเชื่อมประมาณ 10 ช้อนคาว (30 ช้อนชา)
4. การชั่ง ตวง วัด น้ำสมุนไพร
การชั่ง ตวง วัด มีประโยชน์ คือ ทำให้น้ำสมุนไพรที่ปรุงมีรสชาติอร่อยเหมือนกันทุกครั้ง ถ้าการตวง วัด นั้นถูกต้องได้มาตรฐาน ดังนั้นก่อนทำน้ำสมุนไพรควรทราบอัตราส่วนของการชั่ง ตวง วัด ก่อนที่จะปรุงน้ำสมุนไพร ดังนี้
1 ถ้วยแก้ว มีปริมาตรเท่ากับ 250 มิลลิลิตร
1 ถ้วยชา มีปริมาตรเท่ากับ 75 มิลลิลิตร
1 ช้อนโต๊ะหรือช้อนคาว มีปริมาตรเท่ากับ 15 มิลลิลิตร
1 ช้อนตวง มีปริมาตรเท่ากับ 8 มิลลิลิตร
1 ช้อนชา มีปริมาตรเท่ากับ 5 มิลลิลิตร
16 ช้อนโต๊ะ มีปริมาตรเท่ากับ 1 ถ้วยตวง
1 กำมือ มีปริมาตรเท่ากับ 4 หยิบมือ
(หรือหมายถึงปริมาตรที่ได้จากการใช้มือเพียงข้างเดียวทำโดยใช้ปลายนิ้วจรดเข้าไปในอุ้งมือโหย่งๆ)
5. อุปกรณ์การทำน้ำสมุนไพร
5.1 ควรใช้ครกตำ หรือขูดให้เป็นฝอยและคั้นด้วยผ้าขาวบาง เพื่อแยกน้ำสมุนไพรออกจากกาก หรือใช้เครื่องปั่นน้ำผลไม้ หรือเครื่องปั่นน้ำผลไม้ชนิดแยกกาก
5.2 ช้อนตวง (อาจดัดแปลงใช้ช้อนโต๊ะ หรือช้อนคาว และช้อนชาแทนได้)
5.3 ภาชนะสำหรับใส่น้ำสมุนไพร เช่น แก้วน้ำ หรือ ขวดแก้ว ต้องสะอาด
วิธีดื่มและข้อควรคำนึงเกี่ยวกับน้ำสมุนไพร
ปัจจุบันได้มีผู้คิดค้นหาวิธีการรักษาโรคต่างๆ โดยใช้น้ำที่ทำจากผัก ผลไม้ ธัญพืชต่างๆ น้ำสมุนไพรบางชนิดจะดื่มลำบากในช่วงแรกของการดื่มอาจจะทำให้รู้สึกอึดอัด เนื่องจากรสชาติไม่ค่อยตรงกับรสนิยมของผู้ดื่ม แต่จะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น วิธีการดื่มที่ดี ควรเป็นการจิบแบบช้าๆ และควรดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จเพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและทางยา มากกว่าปล่อยทิ้งไว้นานแล้วดื่มเนื่องจากจะทำให้คุณค่าลดลง นอกจากนี้ยังสามารถทำดื่มได้ทั้งร้อนและเย็นตามความชอบของแต่ละบุคคล
การดื่มน้ำสมุนไพรชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการสะสมสารบางชนิดที่มีฤทธิ์ต่อร่างกายได้ การดื่มน้ำสมุนไพรร้อนๆ ที่มีอุณหภูมิ 60 °ซ ขึ้นไป ทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ และอาจทำให้มีการดูดซึมสารก่อมะเร็ง จุลินทรีย์ ฯลฯ ได้ง่าย
แบบฝึกหัดท้ายบท
ส่งคำตอบมาที่ Mail นี้นะค่ะ teachera_01@ hotmail.com
วิชา โภชนาการเบื้องต้น รหัส 2402-1002 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
เรื่อง น้ำและเครื่องดื่ม (หนังสืออ่านเพิ่มเติมเรื่อง น้ำ...เครื่องดื่มดับกระหาย)
ชื่อ-สกุล .........................................ชั้น........................เลขที่.................
ตอนที่ 1
คำชี้แจง ให้นักเรียนเติมข้อความลงในช่องว่างให้ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด
1. สารอาหารที่มีมากที่สุดในร่างกายคืออะไร ?.................
2. ถ้าขาดน้ำ เราจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงกี่วัน ?......................
3. ในร่างกายเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบร้อยละเท่าใด ?............
4. เราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ......................แก้ว
5. คนไทยนิยมดื่มน้ำ..............................
6. แสงที่ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในน้ำคือ..............................
7. ชาพลังสีเหลืองได้มาจาก...................และ..............
8. ชาอัญชันจะมีสี................................................
9. น้ำนางเอก หมายถึง........................................
10. สิ่งที่สูญเสียไปกับการดื่มน้ำผลไม้คือ.........................
ตอนที่ 2
แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง น้ำ...เครื่องดื่มดับกระหาย
วิชาโภชนาการเบื้องต้น รหัส 2402-1002 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
คำชี้แจง ให้นักเรียนกาเครื่องหมาย O ทับตัวอักษรหน้าคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว
1. ผลไม้ในข้อใดนิยมนำมาทำน้ำผลไม้ ?
ก. ขนุน
ข. ลองกอง
ค. ทับทิม
ง. ทุเรียน
2. เมื่อจะซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดควรพิจารณาข้อใดเป็นอันดับแรก ?
ก. ราคา
ข. สีสันของฉลาก
ค. ภาชนะบรรจุ
ง. รสชาติ
3. สิ่งที่อาจได้รับจากการดื่มน้ำผลไม้คืออะไร ?
ก. สีผสมอาหาร
ข. สารกันบูด
ค. ความอร่อย
ง. คุณค่า
4. เครื่องดื่มในข้อใดไม่ควรดื่ม ?
ก. กาแฟ
ข. น้ำผัก
ค. น้ำแร่
ง. น้ำผลไม้
5. สารอาหารที่มีมากที่สุดในร่างกายคือสารใด ?
ก. โปรตีน
ข. น้ำ
ค. วิตามิน
ง. ไขมัน
6. พืชที่ช่วยในการขับลม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียนคือข้อใด ?
ก. ขิง
ข. มะตูม
ค. มะกรูด
ง. เก๊กฮวย
7. ผักในข้อใดไม่สามารถนำมาทำเครื่องดื่มได้ ?
ก. แตงกวา
ข. ฟักทอง
ค. หัวไชเท้า
ง. แครอท
8. สิ่งที่เราจะไม่ได้รับจากน้ำผลไม้คือข้อใด ?
ก. ความหอม
ข. ความหวาน
ค. ความสดชื่น
ง. ใยอาหาร
9. น้ำผลไม้ในข้อใดมีรสชาติหวานน้อยที่สุดถ้าไม่เติมน้ำเชื่อม ?
ก. น้ำอ้อย
ข. น้ำฝรั่ง
ค. น้ำส้ม
ง. น้ำแตงโม
10. ในสมัยก่อนคนไทยนิยมดื่มน้ำอะไร ?
ก. น้ำประปา
ข. น้ำบาดาล
ค. น้ำบ่อ
ง. น้ำฝน